วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขม่าปลายท่อบอกอาการรถ


เคยสังเกตเขม่าปลายท่อรถยนต์กันบ้างหรือไม่

เขม่าปลายท่อนั้น มาจากการเผ่าไหม้ในเครื่องยนต์ เพราะรถจะวิ่งหรือใช้งานได้ดี บางทีเราไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นการสังเกตเขม่าปลายท่อ อาจเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า เครื่องยนต์ของคุณ ยังสามารถใช้การได้ดีอยู่หรือไม่

เขม่าปลายท่อสีเทาเกือบขาวหรือสีขาวแห้งๆ บ่งบอกถึงส่วนผสมของการเผาไหม้ที่เบาเกินไป หรือองศาการจุดระเบิดแรงเกินไป การเผาไหม้ที่ส่วนผสมบางเกินไป มักเพิ่มโอกาสให้ลูกสูบเกิดความเสียหาย เนื่องมาจากการสะสมความร้อน เมื่อลูกสูบมีการสะสมความร้อนในปริมาณมาก อาจก่อให้เกิดการสึกหรอหรืออาจทำให้หัวลูกสูบทะลุได้ นอกจากนี้ความร้อนที่สะสมในเครื่องยนต์ที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อการขับเคลื่อนในระยะไกล ดังนั้นหากพบว่า เขม่าปลายท่อสีเทาเกือบขาวหรือสีขาวแห้งๆ ก็ควรแก้ไขโดยการเพิ่มส่วนผสมให้หนาขึ้นนิดหน่อย จะช่วยลดปัญหานี้ได้

เขม่าปลายท่อสีดำเข้ม มีคราบเขม่าแห้งๆ สีดำติดที่ปลายท่อและรอบนอก เขม่าปลายท่อสีดำเข้ม บอกถึงส่วนผสมที่หนาจนเกินไป เพราะส่วนผสมที่หนาจนเกินไปอาจแย่งพื้นที่ของอากาศ ทำให้ได้กำลังอัดที่ไม่เหมาะสม เป็นเหตุให้การเผาไหม้เปลี่ยนแปลง หรือเผาไหม้หมดจด
นอกจากผสมที่หนาจนเกินไป จะทำให้รถไม่วิ่งแล้ว ยังทำให้มีคราบเขม่าจับหนาบริเวณ วาล์ว หัวลูกสูบ ทางเดินไอเสียและ หัวเทียน ส่งผลให้หัวเทียนบอดง่าย หากคราบเขม่าไปจับที่หัวลูกสูบ จะทำให้การเผาไหม้ไม่สมบรูณ์ ไปจับที่วาล์ว และ บ่าวาลว์มากๆ ส่งผลให้วาลว์ปิดไม่สนิท กำลังอัดตก ดังนั้นส่วนผสมที่หนาจนเกินไปไม่ได้ให้ผลดีอะไรเลยนอกจากสิ้นเปลืองน้ำมัน

เขม่าปลายท่อดำมาก เป็นสัญญาณเตือนที่อันตราย คราบเขม่าที่เกาะติดอยู่นี้ เป็นคราบน้ำมันแฉะ นั่นคือสัญญาณเตือนเครื่องยนต์สึกหรอ หรือเครื่องยนต์อาจกำลังเจอปัญหาหนัก เพราะคราบเหนียวๆ แฉะๆ นั้น คือน้ำมันเครื่องที่ปนออกมา อาจเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์หลวมอีกด้วย

เขม่าปลายท่อเป็นสีจาง ไม่เข้มและแห้ง เขม่าปลายท่อที่ปรากฏเช่นนี้ แสดงว่าเครื่องยนต์ของคุณ มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบ และยังสามารถใช้งานได้ดี

ประโยชน์ของออยล์คูเลอร์ ( OIL COOLER )



ออยล์คูเลอร์ ( OIL COOLER ) หรือ ตัวการทำให้น้ำในเครื่องเย็น


น้ำมันเครื่องที่ใช้กันอยู่ทั่วไปทำหน้าที่ในการลดการเสียดสีของเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอน้อยที่สุด ซึ่งอาศัยฟิล์มบางๆของน้ำมันเครื่องเข้าไปแทรกบริเวณช่องว่างระหว่างชิ้นส่วน เช่น เพลาข้อเหวี่ยง แหวนสูป ก้านสูป เพลาราวลิ้น แคมชาร์ป เป็นต้น น้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพจะต้องมีปริมาณสารยึดเกาะโลหะที่เหมาะสม จะสังเกตได้ว่าน้ำมันเครื่องที่มีราคาแพงจะทำหน้าที่ในการหล่อลื่นได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องราคาถูก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติน้อย จึงสามารถใช้งานได้ดีในอุณหภูมิสูง อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าน้ำมันเครื่องราคาถูก น้ำมันเครื่องราคาถูกจะทำงานได้ดีในอุณหภูมิที่กำหนด แต่หากอุณหภูมิสูงขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นของเหลวใส ในขณะที่เครื่องมีการทำงานอย่างหนักและมีความร้อนเกิดขึ้นสูง เป็นผลให้โลหะภายในเครื่องยนต์มีการขยายตัว เพิ่มโอกาสทำให้โลหะเกิดการกระทบกันและเสียหายได้ในที่สุด นอกจากนี้ออยล์คูเลอร์ยังมีหน้าที่หลัก ในการช่วยระบายความร้อนให้น้ำมันเครื่องที่หมุนเวียนอยู่ในเครื่องยนต์ ให้มีอุณหภุมิที่เหมาะสม ภายในออยล์คูลเลอร์จะมีครีบให้น้ำมันเครื่องไหลผ่านและอาศัยอากาศภายนอกไหลมากระทบกับท่อน้ำมัน เพื่อนำความร้อนออกมาระบายให้เย็นตัวลง

ชนิดของออยล์คูเลอร์

ออยล์คูเลอร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ชนิดนี้มักถูกติดตั้งกับกรองน้ำมันเครื่อง หรือติดตั้งอยู่กับเสื้อสูป ในเครื่องที่มีการออกแบบให้มีน้ำและน้ำมันเครื่องไหลผ่าน มักผลิตมาจากสแตนเลส เพื่อให้ทนต่อการกัดกร่อนของน้ำ แต่มักทำให้การระบายความร้อนทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ออยล์คูเลอร์ชนิดนี้ส่วนใหญ่มักถูกติดตั้งมาจากโรงงานผู้ผลิต

2. ระบายความร้อนด้วยอากาศ มี 2 แบบ แบบที่หนึ่ง ทำมาจากทองแดงทั้งท่อภายในและภายนอก ทำให้ทนทานมากกว่าชนิดแรก มีน้ำหนักมาก แต่การระบายความร้อนสามารถทำได้น้อย แบบที่สอง ทำจากอลูมิเนียม ทำให้มีน้ำหนักน้อย ให้ความแข็งแรงทนทานน้อยกว่าชนิดอื่น ๆ แต่สามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การติดตั้ง
ในเครื่องยนต์ดีเซลมักมีการติดตั้งออยล์คูเลอร์มาแล้ว เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่มีความร้อนสูง ในเครื่องเทอร์โบส่วนมากก็จะติดตั้งมาให้ ส่วนใหญ่จะเป็นการระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่หากเป็นการระบายความร้อนด้วยอากาศจะมีขนาดเล็ก สำหรับเครื่องยนต์ที่มีการติดตั้งแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ สามารถหาซื้อแบบที่ดีกว่ามาติดตั้งได้เลย เครื่องระบายความร้อนด้วยน้ำมักต้องถอดเครื่องเดิมออกก่อนและหาอแดปเตอร์มาต่อในจุดที่เคยใส่กรองน้ำมันเครื่อง และต่อสาย มายังตัวใส่กรองน้ำมันเครื่องด้านนอก แล้วในตัวอแดปเตอร์จะมีสายแยกเพื่อจะเข้าไปยังออยล์คูเลอร์อีกที สำหรับการติดตั้งต้องอยู่ในบริเวณที่สามารถรับลมที่จะมาระบายความร้อนได้ดี ไม่เสี่ยงกับการกระแทก และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย หรืออาจติดตั้งพัดลมไฟฟ้าระบายความร้อนร่วมด้วยก็ได้

ข้อดี
1. ช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ มีความสำคัญเทียบเท่ากับหม้อน้ำ เพราะถ้าน้ำมันเครื่องเย็นมีผลทำให้อุณหภูมิของเครื่องเย็นลงด้วย

2. ช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ออยล์คูเลอร์
ควรคำนึงถึงปั้มน้ำมันเครื่องด้วยว่ามีแรงดันเพียงพอหรือไม่ เพราะหากแรงดันน้ำมันเครื่องลดลงอาจต้องเปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่องใหม่ ในการติดตั้งควรใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เมื่อทำการติดตั้งแล้ว ควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะอาจต้องเพิ่มน้ำมันเครื่องอีก 1 – 2 ลิตร

เทคนิคง่าย ๆ ในการเอาใจใส่รถยนต์ อย่าลืมนำไปใช้นะคะ

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ล้างหม้อน้ำ ไม่ใช่เรื่องยาก




การหมั่นล้างทำความสะอาดหม้อน้ำ

นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของหม้อน้ำแล้ว ยังช่วยลดอัตราการกัดกร่อนภายในที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับวิธีการล้างหม้อน้ำมีดังต่อไปนี้

1. หาถุงพลาสติกคลุมอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เพื่อป้องกันความเสียหาย หลังจากนั้นให้คลายปลั๊กถ่ายน้ำที่อยู่ด้านล่างเล็กน้อย

2. เปิดฝาหม้อน้ำ ต่อน้ำจากสายยาง ติดเครื่องยนต์ให้ทำงาน หลังจากนั้นคลายหัวไล่น้ำออกเอาสายยางสอดลงไปในช่องที่เปิดฝาหม้อน้ำออก ให้มีน้ำหมุนเวียนอยู่ในเครื่องยนต์ตลอดเวลา ซึ่งน้ำจากสายยางจะไหลจากท่อยางที่เสียบลงไปด้านบนและไหลออกไปที่ช่องด้านล่าง ทิ้งไว้สักครู่จนน้ำใส จึงปิดปลั๊กอุดด้านล่างและปิดน้ำจากสายยาง ดับเครื่องยนต์ และเติมน้ำยาหล่อเย็น COOLANT เพื่อเพิ่มจุดเดือดของน้ำ

3. คลายปลั๊กไล่น้ำเล็กน้อย เพื่อให้น้ำลดระดับลงไป หลังจากนั้นให้เติมน้ำยาหล่อเย็น เติมจนเต็มสัดส่วนที่ข้างกระป๋องน้ำหล่อเย็นระบุไว้ เช่น 0.5 หรือ 1 กระป๋องต่อรถยนต์ 1 คัน เป็นต้น

4. ติดเครื่องยนต์ ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานสักครู่ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้วาล์วน้ำเปิดจนสุด มีการหมุนเวียนปกติ เติมน้ำยาในหม้อน้ำและถังพักให้ได้ระดับ ปิดฝาเป็นอันเสร็จ

5. สำหรับรถยนต์ที่ใช้หม้อน้ำระบบปิด ให้เติมน้ำที่ถังพัก และทำตามวิธีที่อธิบายไปข้างต้น แต่ต้องหาหัวไล่ลม เพื่อไล่ลมพิเศษออกจากระบบให้หมด

การล้างหม้อน้ำจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป เพราะคุณก็สามารถล้างด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเสียค่าช่างอีกด้วย

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ดูแลรักษาพัดลมหม้อน้ำ




พัดลมหม้อน้ำเป็นระบบหล่อเย็นที่จะขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์

เพราะช่วยปรับความสมดุลของความร้อนที่เกิดขึ้นภายในรังผึ้งของหม้อน้ำกับอากาศ ปัจจุบันพัดลมหม้อน้ำส่วนใหญ่นิยมใช้พัดลมที่มีการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะสามารถควบคุมการทำงานได้ง่ายกว่าระบบสายพาน แต่มีขนาดเล็กไม่สามารถทำให้มีขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากปริมาณกระแสไฟฟ้าภายในรถมีปริมาณน้อย ดังนั้นทำให้รถบางชนิดยังคงต้องใช้พัดลมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบสายพานอยู่โดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์ เช่น รถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล

ปกติพัดลมหม้อน้ำมักไม่ต้องมีการบำรุงรักษาใด ๆ เพราะหากเกิดการชำรุดเสียหายก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ แต่อย่างไรก็ควรหมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานเป็นระยะ โดยการตรวจดูใบพัดว่ามีการแตกหักหรือไม่ ดูโครงสร้างกรอบบังลมว่ายังคงอยู่ในตำแหน่งที่หนาแน่นและไม่มีร่องรอยของการเสียดสี เช็คระบบสายไฟว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือเปล่า ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ และคอยสังเกตการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ ในระหว่างที่มีการติดเครื่องใหม่พัดลมหม้อน้ำจะยังไม่ทำงาน จะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์เริ่มสูงขึ้น มากกว่าระดับปกติ ที่มีประมาณ 85-90 องศาเซลเซียสและพัดลมหม้อน้ำ จะเริ่มหยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดต่ำลง สลับกันไปมาเช่นนี้

หากการตรวจสอบพบว่า พัดลมหม้อน้ำมีการทำงานตลอดเวลา แสดงว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งอาจมาจากระบบภายในท่อเย็น หรืออุปกรณ์ที่ควบคุมการทำงานของพัดลมโดยตรง หากเป็นเช่นนี้ ให้ใช้น้ำฉีดที่หม้อน้ำ อย่าฉีดให้โดนมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะอาจทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดความเสียหายได้ หากน้ำที่ฉีดเข้าไปสามารถหยุดการทำงานของพัดลมหม้อน้ำได้ แสดงว่าพัดลมหม้อน้ำเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก ปริมาณสารหล่อเย็นที่ไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดการอุดตันที่ครีมระบายความร้อน มีตะกรันหรือสนิมในหม้อน้ำ อุปกรณ์ในระบบหล่อเย็น(ปั๊มน้ำเทอร์โมสตัท)บกพร่อง เป็นต้น

แต่หากทดสอบด้วยการฉีดน้ำจนอุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดลงจนต่ำกว่าอุณหภูมิการทำงานแล้ว พัดลมก็ยังไม่หยุดการทำงานแสดงว่าอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของพัดลม (เทอร์โมสวิตช์) บกพร่อง

อาการพัดลมไม่หมุนประการสุดท้าย ให้ลองตรวจดูฟิวส์ก่อน ถัดจากนั้นให้เช็คสายไฟและขั้วเสียบ ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ แสดงว่าตัวพัดลมหรือไม่ก็วงจรเกิดปัญหา ทางที่ดีควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ


ฉะนั้นควรหมั่นตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตรวจสอบคุณภาพยางกันสักหน่อย


สภาพอากาศภายในประเทศมีอิทธิพลต่อการใช้ยาง

เพราะสภาพอากาศที่แตกต่างทำให้ยางต้องเผชิญกับสภาพถนนและอุณหภูมิที่แตกต่างกันออกไปด้วย ดังนั้นเราจึงควรเอาใจใส่ยางเป็นพิเศษ เพราะผลตอบรับที่ได้กลับมาคือ การขับขี่ที่ปลอดภัย ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบยางรถยนต์อย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ขั้นตอนง่าย ๆ ในการตรวจสอบยางรถยนต์

1. ตรวจสอบหน้ายางและแก้มยาง ว่าได้รับความเสียหายอย่างไรหรือไม่ เช่น รอยบาดจากของมีคม
แก้มยางมีอาการบวม ยางมีการแตกลายงา

2. แก้มยางมีการฉีกขาดไปจนถึงผ้าใบชั้นใน ควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที เพราะแก้มยางเป็นจุดที่ยางต้องรับน้ำหนัก และมีการบิดตัวไปมาในขณะที่มีการขับขี่ อาจส่งผลให้ยางระเบิดได้ หากแก้มยางมีการฉีกขาด

3. การบวมของยางอาจมาจากสาเหตุของน้ำมัน หรือยางร่อนออกจากขอบกระทะล้อ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการจอดรถในบริเวณที่มีคราบน้ำมัน หรือหากมีน้ำกรดหกใส่ยางรถยนต์ ควรรีบเช็ดล้างด้วยน้ำสบู่ทันที

4. ตรวจสอบสภาพของกระทะล้อและจุกวาล์วเติมลมเป็นประจำ เพราะในบางครั้งสาเหตุของยางแบนหรือรั่วซึมอาจมาจากสาเหตุของการละเลยกระทะล้อและจุกวาล์วเติมลม ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน ควรมีฝาปิดจุกเติมลม เพื่อป้องกันการรั่วซึมของลมยาง

5. เมื่อรถถูกลากเป็นระยะทางไกล ๆ เนื่องมาจากการรถเสีย จึงควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว

6. ปัจจัยที่ทำให้ยางรถยนต์มีการสึกหรอเร็วกว่าปกติ อาจมาจากสาเหตุของการออกตัวแบบกระชาก ออกตัวอย่างรุนแรง หรือการเข้าโค้งในความเร็วสูง

7. ตรวจสอบความลึกของดอกยาง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งระดับที่เหมาะสมของดอกยางควรมากกว่า 2 มิลลิเมตร ปัจจุบันยางบางรุ่นมีสัญลักษณ์บ่งชี้ความลึกของดอกยาง มีลักษณะเป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยางกับส่วนลึกที่สุดของร่องยาง เมื่อไหร่ที่ดอกยางสึกมาจนถึงแท่งนี้ เมื่อนั้นก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว

8. ตรวจสอบดูอายุการใช้งานของยาง เพราะยางบางเส้นหมดอายุการใช้งาน จึงทำให้สภาพของเนื้อยางมีการบวมหรือแตก

9. หมั่นตรวจดูเศษหินหรือก้อนกรวด เศษแก้วต่าง ๆ ที่เกาะติดอยู่บริเวณยางรถยนต์ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเบียดแทรกหรือทิ่มตำเนื้อยางทำให้เนื้อยางเกิดความเสียหายได้

อย่างไรก็ตามแม้ยางจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่หากยางที่คุณใช้งานอยู่เสื่อมสภาพการใช้งานไปแล้ว ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์



เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่ หากประสบอุบัติเหตุเข็มขัดนิรภัยจะช่วยรั้งผู้ขับขี่ ให้อยู่ติดกับเบาะที่นั่งไม่กระเด็นออกนอกตัวรถหรือไปกระแทกกับส่วนต่าง ๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น จึงควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่มีการขับขี่รถยนต์

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เข็มขัดนิรภัยได้ถูกนำมาใช้ เพื่อป้องกันนักบินตกลงมาจากเครื่องบิน ในขณะบินต่อสู้ทางอากาศ ด้วยคุณสมบัติข้อดังกล่าวนี้เอง เข็มขัดนิรภัยจึงได้ถูกพัฒนามาใช้กับรถยนต์
7 ตุลาคม 2540 ประเทศไทยได้ประกาศใช้กฎหมายควบคุมวินัยจราจร ให้ผู้ขับขี่รถยนต์และผู้โดยสาร ที่นั่งตอนหน้า คาดเข็มขัดนิรภัยทุกคน เพื่อเป็นการป้องกันตนเองจากอุบัติเหตุ

เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์มี 3 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เข็มขัดนิรภัยแบบยึด 4 จุด คือ สายเพื่อคาดบริเวณตัก โดยสายของเข็มขัดจะถูกยึดติดกับพื้นที่รถ 2 จุด อีก 2 จุด ที่เหลือ จะยึดจากโรลบาร์ผ่านเบาะนั่งคนขับ มาบรรจบกับ 2 จุดแรก เข็มขัดนิรภัยประเภทนี้นิยมใช้ในรถแข่ง เพราะให้ความปลอดภัยสูง

ประเภทที่ 2 เข็มขัดนิรภัยแบบยึด 3 จุด คือ เข็มขัดที่ยึดจากเสากลางหนึ่งจุด และยึดจากพื้นรถอีก 2 จุด เมื่อคาดเข็มขัดจะคาดผ่านบริเวณไหล่ของคนนั่ง สำหรับอีกเส้นหนึ่งจะคาดผ่านบริเวณตัก เข็มขัดนิรภัยชนิดนี้ นิยมใช้ในรถยนต์ทั่วไป ซึ่งติดตั้งบริเวณเบาะนั่งคนขับและเบาะผู้โดยสารตอนหน้า

ประเภทที่ 3 เข็มขัดนิรภัยแบบยึด 2 จุด เป็นเข็มขัดที่ยึดจากพื้นรถด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง โดยคาดผ่านบริเวณตัก เข็มขัดนิรภัยแบบยึด 2 จุด มักใช้กับเบาะโดยสารตอนหลัง แต่สำหรับรถรุ่นใหม่บางรุ่นได้เปลี่ยนจากเข็มขัดนิรภัย 2 จุด มาเป็น 3 จุดแทน เพื่อให้ผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นเมื่อมีการขับขี่หรือโดยสารรถยนต์ ควรคาดเข็มขัดนิรภัยให้เป็นนิสัย เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแล้ว ยังสามารถรักษาชีวิตของคุณได้อีกด้วย แม้หลายคนจะทราบคุณสมบัติของเข็มขัดนิรภัย แต่มักละเลยที่จะใช้ประโยชน์ เพียงแค่คิดว่าอาจไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุณ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เลือกอย่างไรดีระหว่างซ่อมเครื่องยนต์เก่ากับซื้อเครื่องยนต์ใหม่


เครื่องยนต์

เป็นศูนย์รวมพลังของรถทุกคัน เมื่อมีการใช้งานรถยนต์ทุกนาทีย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ยิ่งผ่านการใช้งานเป็นเวลานานการทำงานของเครื่องยนต์ก็มักเกิดปัญหา ทางเลือกสำหรับการแก้ไขปัญหาเครื่องยนต์มีอยู่ 2 ประการ คือ ซ่อมเครื่องยนต์ตัวเก่ากับเปลี่ยนเครื่องยนต์ตัวใหม่แบบไหนดีกว่ากัน และคุ้มค่าเงินที่เสียไปหรือไม่ เป็นเรื่องที่คุณต้องตัดสินใจให้รอบคอบ

1.ซ่อมเครื่องยนต์ตัวเก่า หรือที่เรียกกันว่า ฟิตเครื่อง เป็นทางเลือกที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ โดยเฉพาะเวลาที่เครื่องยนต์ของคุณเกิดปัญหา ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ฟิตเครื่องใหม่ ในการซ่อมเครื่องยนต์ตัวเก่า แต่ละครั้งจะต้องมีการรื้อถอนชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดปัญหาที่จุดใด จึงเลือกเปลี่ยนอะไหล่ ณ จุดนั้น การเลือกเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ในกรณีที่รถของคุณเข้าอู่ซ่อม เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับทางอู่ได้ บวกราคาค่าอะไหล่เพิ่มขึ้น หรือใช้อะไหล่เทียมในการซ่อม แต่มีการเรียกเก็บเงินค่าอะไหล่ในราคาสูงเทียบเท่ากับการซื้ออะไหล่แท้เลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่อู่ซ่อมรถมักมีร้านซื้อขายอะไหล่ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี การหากิน ในการบวกส่วนต่างระหว่างอู่กับร้านขายอะไหล่นั้นถือเป็นเรื่องปกติ และมีการบวกส่วนต่างค่าอะไหล่ 50-100% ขึ้นอยู่กับว่าจะเอากำไรมากหรือน้อย จนบางรายเลือกแก้ปัญหาด้วยการหาซื้ออะไหล่เองแล้วนำไปใช้อู่เปลี่ยน อู่บริการมักสร้างข้อต่อรองเสมอว่า เจ้าของไม่มีความชำนาญพอ ทำให้อะไหล่ที่ซื้อมาเปลี่ยนนั้นไม่ตรงตามรุ่นที่รถใช้ จึงต้องมีการซื้อมาเปลี่ยนใหม่และบวกค่าบริการเพิ่ม นอกจากอู่ซ่อมรถจะได้กำไรจากการหากินกับค่าอะไหล่แล้ว อู่ซ่อมรถยังมีการบวกค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ อีก เช่น ค่าโรงกลึง 10% ค่าแรงในการซ่อมรื้อถอนและประกอบประมาณ 2,000-3,000 บาท ทั้งที่ค่าแรงในการเปลี่ยนเครื่องใช้เพียงแค่ 1,000 - 1,500 บาทเท่านั้น อีกทั้งการเลือกซ่อมเครื่องยนต์ตัวเก่า ต้องใช้เวลาในการซ่อม 3 - 7 วัน บวกกับค่าใช้จ่ายที่สูงลิบ แถมยังต้องมาลุ้นอีกว่า ซ่อมมาแล้วจะใช้การได้ดีเช่นเดิมหรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็สุดแล้วแต่ฝีมือของช่าง

การสึกหรอของเครื่องยนต์ ขีดจำกัดอยู่ที่ การสึกหรอของกระบอกสูบและชาฟท์(แบริ่ง) หากกระบอกสูบมีการสึกหรอจนไม่สามารถใช้ลูกสูบชุดเดิมได้ ก็ต้องมีการกลึงคว้านเพื่อเปลี่ยนลูกสูบ ซึ่งหากมีความยุ่งยากมาก ก็หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่อู่ ต้องบวกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การคว้านกระบอกลูกสูบในตอนหลังนี้ จะมีการชุบแข็ง ที่ผิวของกระบอกลูกสูบเดิมที่ถูกคว้านออกไป เพราะกระบอกลูกสูบเดิมจะถูกชุบแข็งมาจากโรงงานผู้ผลิตแล้ว หากผิวของกระบอกสูบไม่ได้มีการชุบแข็ง ก็จะมีการสึกหรอมากกว่ามาตรฐาน ทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานที่สั้นลง

การซ่อมแซมเครื่องยนต์เก่าจะให้ความคุ้มค่าก็ต่อเมื่อ
1. เป็นเครื่องยนต์ของรถที่นำเข้ามาจำหน่ายน้อยและมีราคาสูง เช่น เครื่องยนต์ของรถยุโรป แต่ถ้าหากเป็นรถญี่ปุ่น เครื่องยนต์สามารถหาซื้อได้ง่ายกว่า อีกทั้งราคาไม่แพง
2. สิ่งสำคัญการฟิตเครื่องเก่าจะคุ้มค่า เมื่อไม่ต้องเปลี่ยนกระบอกสูบ, แบริ่ง (ชาฟท์) และวาล์ว อีกทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ หากค่าใช้จ่ายในการฟิตเครื่องมากกว่า 50 % ของราคาเครื่องเก่าถือว่านั้นเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
3. ในการซ่อมรถแต่ละครั้งสิ่งที่ควรระวังคือ คุณภาพของอู่ เพราะอู่มักประเมินราคาจูงใจให้ซ่อมเครื่องยนต์ แต่เมื่อมีการซ่อมจริง ยิ่งทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย ถึงเวลานั้นจะมานั่งเสียใจก็คงสายเกินไปเสียแล้ว

2.เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ของรถญี่ปุ่นที่ใช้แล้ว ราคาถูกและมีให้เลือกหลากหลาย ตลาดในการซื้อขายแลกเปลี่ยนใหญ่ ๆ นั้นอยู่แถว บางนา ปทุมวัน หลักสี่ รังสิต และร้านค้าเล็ก ๆ กระจายกันออกไป เครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ส่วนใหญ่ผ่านการใช้งานมาแล้วจากประเทศญี่ปุ่น สาเหตุที่ประเทศญี่ปุ่นมีเครื่องยนต์จำนวนมาก เพราะชาวญี่ปุ่นสามารถซื้อรถยนต์ได้ในราคาถูก อีกทั้งนิยมใช้เพียง 3-5 ปี หากใช้เกินกว่านี้ อาจจะเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล เทียบกับการซื้อรถใหม่ได้เลยทีเดียว แต่การใช้งาน 3-5 ปีนั้น ไม่ได้หมายความว่าใช้อย่างไม่มีชิ้นดี เพราะญี่ปุ่นมีระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวเพียงแค่เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น นอกจากจะมีรถที่ถูกทิ้งโดยผ่านการใช้งานมาแล้ว ยังมีรถที่ถูกทิ้งเนื่องมาจากการชน แล้วไม่มีการซ่อม เพราะถ้าหากซ่อมอาจไม่คุ้มค่า หากเกิดกรณีดังกล่าวนี้ขึ้นบริษัทประกันภัยจะเคลมรถใหม่ให้แก่ลูกค้าพร้อมกับทิ้งรถเก่าเข้าป่าช้ารถไป สำหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้หมายถึงชนจนยับเยิน แต่เป็นการชนในส่วนที่ไม่สามารถไขน๊อตได้หรือเปลี่ยนไม่ได้นั่นเอง ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุกับรถแต่เครื่องยนต์ยังสามารถใช้การได้อยู่ เครื่องยนต์ก็จะถูกนำมาจำหน่ายที่เมืองไทย ซึ่งเครื่องยนต์ที่ถูกส่งมาขายจะมีหลายประเภทปะปนกันไป และมีสภาพของเครื่องยนต์อยู่ที่ 50-70% ซึ่งหากโชคดีอาจได้เครื่องที่ผ่านการใช้งานน้อย และคุณภาพดี ในตลาดการจำหน่ายอะไหล่เครื่องยนต์ในประเทศไทย ยังพบอีกว่ามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพราะต่างก็หาอะไหล่และเครื่องยนต์ดี ๆ มาจำหน่าย เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ความคุ้มค่าของการเลือกซื้อเครื่องยนต์ใหม่ ขึ้นอยู่กับเทคนิคการเลือกซื้อ เพื่อให้ได้เครื่องยนต์ที่ดีมีคุณภาพและอายุการใช้งานน้อย

ข้อดีของการเลือกเปลี่ยนเครื่องยนต์

1. ความชำนาญของช่าง ช่างในโรงงานผู้ผลิตย่อมมีความชำนาญมากกว่า ช่างตามอู่ทั่วไป
2. ค่าใช้จ่ายหลักมีเพียงค่าเครื่อง, ค่าหัวเทียน, ผ้าคลัตช์, น้ำมันเครื่อง ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทางอู่ไม่สามารถเบิกได้เท่ากับการฟิตเครื่อง ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่นี้มีเพียงแค่ 2,000 –3,000 บาทเท่านั้น ต่ำกว่าการฟิตเครื่องยนต์
3. ควรเก็บอะไหล่เก่า หรือเครื่องยนต์เก่ากลับมาไว้ที่บ้าน เผื่ออนาคตอาจได้ใช้งานจากอะไหล่เก่าเหล่านั้น เมื่อเกิดปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง
4. ประหยัดเวลากว่าการฟิตเครื่องยนต์ เพราะการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ใช้เวลาเพียงแค่ 1-2 วัน


รู้เท่าทันการซ่อมเครื่องยนต์แล้ว ทีนี้หากรถของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องยนต์ก็คงไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปว่าจะเลือกวิธีใดในการแก้ปัญหา

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการขับรถยนต์เกียร์ออโต้ให้ปลอดภัย


เทคนิคการขับรถยนต์เกียร์ออโต้

รถยนต์ทั่วไปที่นิยมขับขี่ในท้องถนนส่วนใหญ่มักขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ออโต้ เพราะระบบเกียร์ออโต้ให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะในสภาพการจราจรที่ติดขัด ทำให้การขับเคลื่อนต้องมีการชะลอตัวและเบรคอย่างกระชั้นชิดอยู่เสมอ

ในการขับขี่รถยนต์เกียร์ออโต้ ผู้ขับขี่ควรจดจำตำแหน่ง และจดจำการใช้เกียร์แต่ละเกียร์ให้ได้ ซึ่งเกียร์ออโต้แต่ละตำแหน่งมีดังนี้

P ( PARKING ) ตำแหน่งที่ใช้สำหรับจอด เพื่อไม่ต้องการให้รถเคลื่อนที่ ซึ่งล้อรถยนต์จะถูกล็อคเอาไว้ไม่สามารถทำให้เคลื่อนที่ได้ เช่น การจอดบนทางลาดชัน ต้องการจอดรถทิ้งไว้ สำหรับการใช้งานเกียร์ในตำแหน่งนี้ หลังจากเหยียบเบรคเพื่อหยุดรถ อย่าเพิ่งปล่อยเบรค ให้จับคันเกียร์กดปุ่มปลดล็อค แล้วโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P หลังจากนั้นให้ปล่อยเบรค แล้วจึงดับเครื่องยนต์

R ( REVERSE ) ใช้สำหรับการถอยหลัง เมื่อใช้เกียร์ R จะต้องเหยียบเบรค เพื่อให้รถหยุดสนิทจากนั้นจับคันเกียร์กดปุ่มปลดล็อค แล้วจึงโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง R หลังจากนั้นปล่อยเบรค กดคันเร่ง ให้รถเคลื่อนตัวถอยหลัง

N ( NEUTRAL) ตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้เมื่อต้องการสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือต้องการจอดทิ้งไว้โดยไม่ล็อคล้อ อาจใช้งานในขณะที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ เช่น การจอดรถในสภาพการจราจรติดขัด หรือเมื่อติดไฟแดง

D4 หมายถึง เกียร์ออโต้ 4 สปีด ใช้ในการขับทั่วไป เช่น การเดินหน้า การทำงานของเกียร์ D4 มีการทำงานลักษณะ 4 สปีด คือ เกียร์มีการเปลี่ยนไปตามลำดับ จากเกียร์ 1 ไปเกียร์ 2 จากเกียร์ 2 ไปเกียร์ 3 จากเกียร์ 3 ไปเกียร์ 4 หากผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งมาก เกียร์ก็จะเปลี่ยนตามอัตราความเร่งที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีการลดความเร็วลง เกียร์จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4 ไปเกียร์ 3 หรือจากเกียร์ 3 ไปเกียร์ 2 หรือจากเกียร์ 2ไปเกียร์ 1 ตามลำดับจากมากไปหาน้อย ขึ้นอยู่กับอัตราเร่งที่ลดลง

D3 หมายถึง เกียร์ออโต้ 3 สปีด ใช้สำหรับรถขึ้นหรือลงเนิน นอกจากนี้ยังใช้ในกรณีที่ต้องการเพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์และระบบเบรคมากขึ้น ผู้ขับขี่สามารถใช้การ KICK DOWN ในกรณีที่ต้องการเร่งความเร็วเพื่อแซง โดยการเหยียบคันเร่งให้จม หลังจากนั้นเกียร์จะเปลี่ยนอัตโนมัติ สามารถใช้ได้ในตำแหน่ง D4 และ D3

D2 หมายถึง เกียร์ 2 ใช้เพื่อให้เครื่องยนต์เพิ่มกำลังเบรคมากขึ้น ในกรณีที่มีการขับขี่ขึ้นลงเขา เพื่อเพิ่มกำลังขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ได้ในกรณีที่ รถติดหล่ม หรือการขับขี่ในถนนลื่น

D1 หมายถึง เกียร์ 1 ใช้สำหรับการขับรถขึ้น-ลงเขาที่สูงชันมากๆ

การขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ออโต้ หากได้รับการขับขี่อย่างถูกต้อง นอกจากจะทำให้การขับขี่สะดวกสบายแล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับการขับขี่ยวดยานอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับในการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง


ใครที่กำลังมองหารถยนต์มือสองไว้ใช้งาน

คุณทราบวิธีในการเลือกซื้อรถยนต์มือสองแล้วหรือยัง หากยังไม่ทราบ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลือกซื้อรถยนต์มือสองไว้ใช้งานมาแนะนำ

1. สุมดประวัติประจำรถ สุมดประวัติประจำรถทำให้เราทราบถึงความเป็นมาของรถ หากรถมีการผ่านมือหรือถูกซ่อมส่วนใดบ้างก็สามารถตรวจสอบได้จากสุมดประวัติประจำรถ แต่เมื่อมีการซื้อรถมือสอง มักไม่ค่อยมีสุมดประวัติประจำรถให้ เพราะเนื่องจากกลัวลูกค้าเสียความมั่นใจ และไม่ซื้อ เพราะรถบางคันผ่านมาแล้วหลายมือ และมีการซ่อมมาอย่างโชกโชน

2. เจ้าของรถ คุณควรดูเจ้าของรถคันเดิมว่ามีการใช้งานรถอย่างไร เช่น ถนอมหรือดูแลรักษารถหรือไม่ ในกรณีที่ซื้อจากเต้นท์รถมือสอง ควรตรวจดูสภาพรถมากกว่า เพราะคุณอาจไม่รู้แน่ชัดว่าเจ้าของรถยนต์คันเก่าคือใคร และดูแลรักษารถหรือไม่

3. รถยนต์ผ่านมาแล้วกี่มือ หากผ่านมาแล้วหลายมือ ก็ไม่ควรซื้อ เพราะรถอาจมีปัญหาสะสมมามาก

4. ตัวเลขบอกระยะในการใช้รถ ในการซื้อรถยนต์มือสองควรตรวจดูเลขไมล์ โดยไม่ควรให้เกินสามหมื่นกิโลเมตร หากมากกว่านี้แสดงว่าเครื่องยนต์ถูกใช้งานมาอย่างหนัก เพราะโดยปกติการใช้รถไม่ควรจะมากกว่าสามหมื่นกิโลเมตรต่อปี

5. สภาพภายในห้องเครื่องยนต์ ภายในห้องเครื่องยังคงใช้การได้ดี เช่น ระบบไฟต่าง ๆ ให้ทดลองเปิดใช้งานและดูการแสดงผลที่หน้าปัด เบาะนั่งยังสามารถใช้การในสภาพที่ดี เช่น สามารถปรับเปลี่ยนระดับได้

6. สภาพภายนอก ตรวจสอบสภาพตัวถัง หากมีสีลอก ตัวถังผุพัง กันชนบุบ ก็ไม่ควรซื้อ เพราะหากซื้อไปก็มิวายที่จะต้องซ่อมใหม่

7. รถผ่านการทำสีมาหรือไม่ รถที่ควรทำสีใหม่ คือ รถที่มีอายุ เกิน 15 ปีขึ้นไป หากมีการทำสีมาก่อนหน้านั้น แสดงว่ารถไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ สำหรับการทดสอบว่ารถที่คุณกำลังจะซื้อนั้น ผ่านการทำสีมาใหม่หรือไม่ ทดสอบได้โดยการใช้สันมือเคาะเบา ๆ ถ้าเสียงโปรงแสดงว่าไม่ได้ทำสีใหม่ ถ้าเสียงโปร่งบ้างทึบบ้างแสดงว่ามีบางส่วนที่ทำสีใหม่ แต่ถ้าทึบหมดทั้งคันแสดงว่าทำมาหมดทั้งคัน ข้อสังเกตของการทำสีรถใหม่ สีที่ทำใหม่จะไม่ทน ทาน เช่น อาจมีการซีดหรือด้าน จะเห็นผลภายใน 2 – 3 ปี

8. ประวัติรถ สืบประวัติรถที่จะซื้อให้ดี เพราะรถบางคันอาจผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง เช่น รถชน ประสบอุบัติเหตุอย่างหนัก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะล้วนมีผลต่อการใช้งาน

9. ซื้อรถจากเจ้าของดีกว่าซื้อจากเต้นท์รถหรือพ่อค้าคนกลาง หากซื้อผ่านพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าคนกลางอาจโอนเป็นชื่อของตนเองหรือโอนลอยไว้ ในขณะที่รอคนมาซื้อ อะไหล่ชิ้นดีบางอย่างอาจถูกเปลี่ยนออกไป แล้วเอาของไม่ดีมาใส่แทน เช่น เครื่องเสียง อุปกรณ์ความปลอดภัย หรืออุปกรณ์ที่สามารถนำไปขายแยกส่วนได้ ในส่วนของเต้นท์รถ มักจะขายรถในราคาแพงกว่าท้องตลาด ประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อคัน ฉะนั้นหากต้องการซื้อจริง ๆ ก็ควรตรวจสอบและชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนว่าซื้อแล้วจะสามารถใช้งานได้คุ้มค่าหรือไม่

10. หากซื้อรถจากเต้นท์จะต้องนำรถออกเต้นท์ทันที เพราะขืนนิ่งนอนใจ ชิ้นส่วนดี ๆ ที่คุณดูเอาไว้ อาจจะหายไปในข้ามคืน เพราะเจ้าของเต้นท์สั่งเปลี่ยนแล้วเอาของด้อยคุณภาพมาใส่แทน เช่น เครื่องเสียง ล้อแม็กซ์ ยาง เครื่องยนต์ ถึงเวลานั้นจะมานั่งเสียใจก็คงสายไปแล้ว

11. ต้องรีบโอนรถให้เรียบร้อย หากซื้อรถจากเจ้าของแล้ว ควร นำรถออกทันที แต่ถ้าซื้อรถจากเต้นท์จะต้องทำสัญญาซื้อขายให้ดี ขอใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อย ถ้านัดไปโอนทะเบียนภายหลังจะต้องกำหนดเวลาการโอนในสัญญาซื้อขายอย่างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นคุณอาจถูกโกงได้

การเลือกซื้อรถยนต์มือสองอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แต่ต้องใช้ความรอบคอบและสติในการเลือกซื้อสักนิด อย่าเห็นแก่เป็นของถูก หรืออยากได้แต่ของดีขอให้มีราคาถูก เพราะของพวกนี้อาจไม่มีในโลก